นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับสิงโต

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ในป่าเมื่อสิงโตเดินผ่านมา มันก็ตกใจ จนสิ้นสติเพราะไม่เคยเห็นสิงโตมาก่อน

เดือนต่อมามันพบสิงโตอีกครั้งที่ริมลำธาร มันตกใจไม่น้อย เเต่ก็ยังควบคุมสติได้ ไม่ถึงกับเขาสั่นเป็นลมไปอีก

เดือนต่อมามันพบสิงโตที่ทุ่งหญ้าชายป่า มันก็ไม่รู้สึกกลัวอีก เเม้เเต่น้อย เเละยังกล้าวิ่งเข้าไปทักสิงโตอีกด้วยว่า

“สวัสดี ท่านเจ้าป่า วันนี้อากาศดีนะท่าน”

คติสอนใจจากนิทานอีสปเรื่องนี้:

“คนเรามักไม่ยำเกรงผู้ที่คุ้นเคยกันดี”

 

นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับหมี

สุนัขจิ้งจอกเฒ่านั่งคุย กับหมีเฒ่าถึงประวัติชีวิตของพวกตน

ตั้งแต่วัยหนุ่มจนถึงวัยชราอย่างภาคภูมิใจ

” ข้านะ ไม่เคยไปกินคนที่ตายแล้วเลยนะ เจ้ารู้หรือไม่ ”

หมีอวดในความมีคุณธรรมของตน

แต่สุนัขจิ้งจอกหัวร่อเบาๆ พลางว่า..

” ถ้าเจ้าอยากให้ใครนับถือ เจ้าก็ไม่ควรกินคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ”

คติสอนใจจากนิทานอีสปเรื่องนี้:

“ช่วยคนที่ยังไม่ตาย ย่อมเป็นที่น่านับถือกว่าช่วยคนที่ตายไปแล้ว”

นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับลา

วันหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกเดินไปพบสิงโตที่กลางป่า มันรู้ว่าสิงโต จะต้องจับมันกินเป็นอาหารเเน่ๆ สุนัขจิ้งจอกจึงรีบกล่าวกับ สิงโตว่า

“ข้ารู้จักลาตัวอ้วนตัวหนึ่ง ข้าจะไปหลอกมันมาให้ท่าน”

หลังจากนั้นสุนัขจิ้งจอกก็รีบไปหลอกพาลามาที่กลางป่า

ลายอมตามมาเพราะได้เคยตกลงทำสัญญาเป็นเพื่อนตาย ต่อกันมานานเเล้ว

เมื่อลาเดินเข้าไปติดกับที่สิงโตวางไว้ สิงโตก็หันไปตะปบ สุนัขจิ้งจอกก่อน เพราะคิดว่าลานั้นเก็บไว้กินทีหลัง สุนัขจิ้งจอกก็ได้

คติสอนใจจากนิทานอีสปเรื่องนี้:

“คนไม่ซื่อกับมิตรสหายย่อมไม่มีใครอยากคบหา”

 

นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับฝูงเหลือบ

เม่นตังหนึ่งเดินผ่านมาเห็นสุนัขจิ้งจอกบาดเจ็บติดอยู่ในซอกหิน ริมลำธาร

 

มีเหลือบฝูงใหญ่ตอมดูดเลือดของมัน เม่นเวทนาจึงเอ่ยว่า

 

“ข้าจะไล่พวกเหลือบเหล่านั้นให้ดีไหม”

 

สุนัขจิ้งจอกส่ายหน้าเเล้วว่า

 

“ขอบใจเพื่อนเอ๋ย ถ้าท่านไล่เหลือบฝูงนี้ไป ฝูงใหม่ที่หิวโซก็จะ มาตอมดูดเลือดข้าอีก เเต่ฝูงนี้มันอิ่ม เเล้วมันก็อยู่เฉยๆ ข้าจึงไม่เจ็บปวดมากนัก”

คติสอนใจจากนิทานอีสปเรื่องนี้:

“เมื่อสิ้นคนที่ได้ผลประโยชน์จากเรา ก็อาจมีคนใหม่ๆ ที่หวังผล ประโยชน์จากเราเข้ามาในชีวิตอีกจนได้”

นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกกับไก่บ้าน

สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งอยากกินไก่บ้านมากจึงแกล้งถามด้วยอุบายว่า ไก่ตัวนั้นขันเสียงไพเราะเหมือนผู้เป็นพ่อหรือไม่

ไก่บ้านหลงกลจึงหลับตาโก่งคอขันทันที สุนัขจิ้งจอกจึงฉวยโอกาสงับคอไก่แล้วคาบวิ่งไป

ชาวบ้านจึงตะโกนร้องว่า “จิ้งจอกขโมยไก่ จิ้งจอกขโมยไก่”

ไก่จึงหลอกให้สุนัขจิ้งจอกร้องบอกชาวบ้านว่าไก่ตัวนี้เป็นของมัน ไม่ใช่ของชาวบ้าน

จิ้งจอกเจ้าเล่ห็คิดว่าตนฉลาด แต่ที่แท้ยังขาดความเฉลียว

ดังนั้นมันจึงอ้าปากร้องบอกชาวบ้านตามคำแนะนำของไก่ ไก่จึงได้ทีรีบบินปรื๋อออกจากปากหนีไปหาเจ้าของอย่าง

รวดเร็ว และก็หัวเราะเยาะสุนัขจิ้งจอกเป็นการใหญ่

คติสอนใจจากนิทานอีสปเรื่องนี้:

“การพูดมากไป ก็อาจทำให้เสียของดีๆ ที่อยู่ในกำมือแล้วได้เช่นกัน”

นิทานอีสป เรื่อง สุนัขจิ้งจอกในดงหนาม

 

สุนัขจิ้งจองตัวหนึ่งชอบไปขโมยลูกไก่เเละเเม่ไก่ ของชาวบ้านมากินเป็นประจำ

 

วันหนึ่งพวกชาวบ้านให้พรานดักซุ่มรอเล่นงาน สุนัขจิ้งจอก เเต่สุนัขจิ้งจอกเห็นเข้าก่อนจึงรีบวิ่งหนี ออกจากหมู่บ้านโดยเร็ว
พรานยังคงไล่ล่าตามมาติดๆ สุนัขจิ้งจอกจึงกระโดด เข้าไปซ่อนตัวในดงหนามที่ชายป่า

 

หนามอันเเหลมคมทิ่มตำสุนัขจิ้งจอกจนเจ็บปวดไปทั้งตัว มันตัดพ้อดงหนามว่า

 

“ทำไมต้องทำร้ายเราด้วย ในเมื่อเราไม่เคยทำร้ายเจ้า”

 

ดงหนามจึงตอบว่า ลูกไก่เเละเเม่ไก่ก็ไม่เคยทำร้าย สุนัขจิ้งจอก เช่นกัน เเละการที่กระโดดเข้ามาก็ทำให้ กิ่งก้านของดงหนามหักรานไปไม่น้อย

คติสอนใจจากนิทานอีสปเรื่องนี้:

“ก่อนจะตำหนิว่าใคร ควรย้อนดูตนเสียก่อนว่าเคยทำผิด เช่นนั้นมาก่อนหรือไม่”