นิทานพื้นบ้าน เรื่อง พระธาตุหริภุญชัย
เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1440 นครหริภุญชัยมี พระเจ้าอาทิตยราช เป็นกษัตริย์เจ้าผู้ครองนคร ซึ่งในสมัยพุทธกาลพระองค์ เคยเกิดเป็นพรานป่า และในครั้งนั้นพระพุทธองค์ได้เคยเสด็จมาจนถึงแผ่นดินแห่งนี้ แล้วพรานป่าได้ถวายสมอแด่พระองค์ เมื่อพระองค์ประทับเสวยสมอแล้วทรงมีพุทธทำนายว่า
ต่อไปในกาลข้างหน้า ณ ที่แห่งนี้จะกลายเป็นนครใหญ่ที่มีชื่อว่า “หริภุญชัย” เป็นสถานที่ที่เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันปรินิพพานแล้ว พระธาตุกระหม่อม พระธาตุกระดูกอก พระธาตุนิ้วพระหัตถ์และพระธาตุย่อยเต็มบาทหนึ่ง จักมาประดิษฐานอยู่ และรอจนกว่าพรานป่าผู้ถวายสมอจะเกิดมาเป็นพระเจ้าอาทิตยราช ผู้ครองนครหริภุญชัย
พระเจ้าอาทิตยราชได้โปรดให้สร้างปราสาทพร้อมกันปลูกหอจัณฑาคาร หรือที่พระบังคน (ห้องน้ำ) ไว้ใกล้ ๆ กับปราสาท โดยพระองค์มิได้ทรงทราบมาก่อนว่า ณ บริเวณแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อพระองค์เสด็จลงไปพระบังคน (ปัสสาวะหรืออุจจาระ) ครั้งใด จะมีกาตัวหนึ่งบินมาถ่ายมูลรดพระเศียร (ศีรษะ) แล้วบินผ่านไปหรือบางครั้งก็บินโฉบฉวัดเฉวียนไปมาทำกิริยาเหมือนกำลังขับไล่ พระองค์ให้พ้นไปจากที่แห่งนั้นทุกครั้ง
จนกระทั่งพระองค์มีรับสั่งให้ทหารจับกาตัวนั้นมาให้ได้ ซึ่งเหล่าทหารและข้าราชบริพารทั้งหลายต่างก็ช่วยกันหาวิธีจับกาตัวนั้น แต่จับครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่สามารถจับกาตัวนั้นได้เลย สร้างความแปลกพระทัยให้กับพระเจ้าอาทิตยราชยิ่งนัก ทำให้พระองค์ทรงคิดว่ากาตัวนั้นต้องไม่ใช่กาธรรมดาอย่างแน่นอน จึงมีรับสั่งให้สร้างแท่นบูชาเทพยดาฟ้าดินผู้ปกปักรักษานครหริภุญชัยขึ้น ครั้นพระองค์ทำพิธีบวงสรวงเสร็จสิ้นก็สามารถจับกาตัวนั้นได้ แล้วนำกาตัวนั้นไปขังไว้ในกรง
ในคืนนั้นเองพระเจ้าอาทิตยราชทรงพระสุบิน (ฝัน) เห็นเทวดามาบอกกับพระองค์ว่าให้พระองค์นำเด็กทารกแรกเกิดได้ 7 วัน มาขังไว้ร่วมกับกา ทารกจะได้ฟังเสียงกาทุกวันจนสามารถรู้ภาษากาได้ ดังนั้น เมื่อพระองค์ทรงตื่นจากบรรทม จึงมีรับสั่งให้นำเด็กทารกที่มีอายุได้ 7 วัน ไปไว้ในกรงเดียวกับกาตัวนั้น จนเด็กมีอายุได้ 7 ปี สามารถฟังภาษาของกาได้ตามที่เทวดามาบอกพระองค์จริง ๆ พระองค์จึงรับสั่งถามเด็กน้อยว่า เพราะเหตุใดกาจะต้องบินมาถ่ายมูลรดพระเศียร หรือบินฉวัดเฉวียนขับไล่พระองค์ทุกครั้งเมื่อเสด็จลงไปที่หอจัณฑาคาร เด็กน้อยส่งภาษาถามเจ้ากาไม่นานก็ทราบเรื่องและกราบบังคมทูลว่า บริเวณที่สร้างหอจัณฑคารนั้น เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ครั้นพระเจ้าอาทิตยราชทรงทราบเรื่องก็เข้าพระทัย รับสั่งให้รื้อถอนหอจัณฑาคารและปราสาทต่าง ๆ ออกให้หมด แล้วพระองค์ก็ทรงอาราธนาเสร็จ พระบรมสารีริกธาตุก็ค่อย ๆ เคลื่อนออกมาจากพื้นดินทั้งพระโกศ แล้วลอยอยู่ในอากาศ ทำให้ประชาชนทั้งหลายต่างพากันปลาบปลื้มปีติยินดีในพระบุญญาธิการของพระเจ้า อาทิตยราช แต่พระบรมสารีริกธาตุลอยอยู่ในอากาศเพียง 7 วัน กลอยกลับลงไปในพื้นดินอีกครั้ง ครั้นพระเจ้าอาทิตยราชเห็นดังนั้นจึงมีรับสั่งให้ช่างทองมาทำพระโกศทองคำ ขึ้น เพื่อใช้ครอบพระโกศบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วให้ช่างสร้างพระเจดีย์รูปทรงปราสาทสูง 12 ศอกไว้ครอบพระโกศทองคำนั้นอีกชั้นหนึ่ง
ครั้นทุกอย่างเสร็จดังพระประสงค์แล้ว พระเจ้าอาทิตยราชก็ทรงทำพิธีสักการบูชาอาราธนาพระบรมสารีริกธาตุใหม่อีก ครั้ง ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุได้เคลื่อนออกมาจากพื้นดินแล้วลอยสูงขึ้น 3 ศอก พระเจ้าอาทิตยราชจึงนำโกศทองรับไว้ และนำพระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุในเจดีย์ที่พระองค์ได้สร้างเอาไว้