นานมาแล้วสมัยหนึ่ง พวกสัตว์สีเท้ากับพวกนกสัตว์ปีกนั้นเกิดการทะเลอะเบาะแว้งแบ่ง พวกแบ่งพ้องกันขึ้น สัตว์ทั้งสองชนิดได้เถียงกันขึ้นมาครั้งหนึ่งว่า ” สัตว์สีเท้ากับพวก นกที่มีปีกใครเก่งกาจกว่ากัน ” หัวหน้าฝูงของสัตว์สี่เท้ารีบตอบขึ้นอย่างไม่ต้องคิดว่า ” พวกเราสิ ท่าน แน่นอนต้องเหนือกว่า ” หัวหน้าพวกสัตว์ปีกเมื่อได้ฟังดังนั้น จึงด้วยความโมโห ” ถ้าอย่างนั้น ก็ต้อง ต่อสู้กันดูสักตั้งก่อนสิ ถึงจะรู้ จะมาพูดง่าย ๆว่าเหนือกว่าได้ยังไงเล่า? ” แย่แล้วหละ…สงครามระหว่าง สัตว์ทั้งสองชนิดจึงเกิดขึ้นมาในทันที….ค้างคาวซึ่งเป็นสัตว์ที่มีส่วนผสม อยูในตัวหลายอย่างหลายพันธุ์ และเจ้าเล่ห์แสนกลจึงจำเป็นต้องคิดหนักและตกลงใจไม่ได้ว่าจะเข้าเป็นพวกใด ดี…แต่ด้วยความฉลาด ของมัน มันจึงเฝ้ามองดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆและรอจังหวะ
เมื่อสัตว์สี่เท้าและสัตว์ปีกสู้รบกันมา ได้สักพักผลก็ปรากฏดูเหมือนว่า สัตว์สี่เท้าดูท่าทางว่าจะชนะ เสียแล้วจริง ๆงานนี้ เจ้าค้างคาวเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็รีบเข้าไปหาหัวหน้าของสัตว์สี่เท้าทันที และเมื่อหัวหน้าของสัตว์สี่เท้าเห็นค้างคาวเข้า ” เจ้ากล้าดียังไง อ้ายพวกนกมีปีกถึงได้มาให้ข้า เห็นตัวได้อย่างนี้หือ ” มันตวาด ” ไม่รู้หรือว่าข้าน่ะเกลียดพวกนกสัตว์ปีกเป็นที่สุด เจ้าเป็นพวกนกนี่หว่า ใช่ไหม? สารภาพความจริงออกมานะ ” เจ้าค้างคาวจึงตอบว่า ” ขอโทษทีเพื่อน ไม่ดูตาม้าตาเรือ ให้ดีเอาเสียเลยนะ ข้าเป็นหนูใช่นกที่ไหนกันล่ะ นกมีหูอย่างข้าหรือไง…ขอให้พวกนกจงพินาจ…ขอให้ พวกสัตว์สีเท้าอย่างพวกหนูจงเจริญ ” ข้าเต็มใจและขอร่วมกับพวกท่านต่อสู้กับพวกนกด้วยแล้วกัน ” มันพูดเอาตัวรอดไปได้อย่างฉลาดทีเดียว
แต่การต่อสู้กลับเกิดการพลิกล๊อกขึ้นมา อย่างกระทันหัน ด้วยพวกสัตว์ปีกเกิดฮึดสู้ตายขึ้นมา และมีผลว่าจะเป็นฝ่ายชนะเอาเสียด้วย…เจ้าค้างค้าวที่มีนิสัยชอบกลับกลอกเป็น ทุนเดิมตามนิสัย อยู่แล้วเมื่อมันเห็นดังนั้น จึงกลับใจรีบไปเข้าฝ่ายสัตว์ปีกเฉยเลย…มันย่องเข้าไปหาหัวหน้าสัตว์ปีก ทันที “เจ้ามาหาข้าที่นี่ทำไมฝะ เจ้าเป็นหนูพวกสัตว์สีเท้าไม่ใช่หรือ? ” เจ้าค้างคาวรีบโวยวาย เป็นการใหญ่ ” โธ่ ๆๆนี่พวกท่านละเห็นนี่ไหม? ข้าไม่ใช่หนูสัตว์สี่เท้าหรอก ข้าน่ะเป็นสัตว์ปีก เห็นไหม นี่ไงปีกของข้า…ข้าจะมาช่วยพวกท่านต่อสู้กับพวกสัตว์สี่เท้าไง…ขอให้พวกหนู สัตว์สี่เท้าจงพินาจ ขอให้พวกนกสัตว์ปีกจงเจริญ ” ดูสิเจ้าค้างคาวมันพูดเอาตัวรอดไปได้อย่างน้ำขุ่น ๆเลยหละ
การสู้รบเกิดขึ้นต่อมาอีกหลายวัน…จนใน ที่สุด พวกสัตว์สี่เท้าและสัตว์ปีกก็เกิดเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาด้วยกัน ทั้งสองฝ่าย…ด้วยไม่มีฝ่ายใดที่จะยอมแพ้กันสักที พวกสัตว์ต่าง ๆต้องล้มตายกันไปเป็นจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายจึงคิดและหันหน้ากลับมาตกลงใจปองดองกันอย่างเก่าอีกครั้ง… แต่งานนี้ผู้ที่ต้องได้รับเคราะห์กรรมอย่างหนักก็คือเจ้าค้างคาวผู้คิดกบฏ คิดกลับกลอกยอกย้อนตัวนั้น แต่เพียงตัวเดียว เพราะทั้งสัตว์สี่เท้าและสัตว์ปีกต่างร่วมหัวกันขับไล่เจ้าค้างคาวออกไปจาก พวกพ้องเสีย ไม่มีตัวใดยอมรับให้เป็นพวกด้วยเลยสักตัว
เจ้าค้างคาวเลยจำต้องหนีภัยเข้าไปอาศัย อยู่ในป่าลึกที่มืดมิดตามถ้ำที่มืด ๆกลางวันจะหลบนอนอยู่ แต่ในถ้ำอย่างเดียว และเมื่อสัตว์ป่าต่าง ๆทุกตัวหลับกันหมดแล้ว…ถึงจะได้ออกไปหาอาหาร… มาจนถึงทุกวันนี้…
คติสอนใจจากนิทานอีสปเรื่องนี้:
“คนที่ฉลาดในบางครั้งต้องรู้จักพอ ในสิ่งที่ตนมีอยู่แล้ว”