การมาร์กหน้า เป็นการผ่อนคลายตัวเอง ที่ผู้หญิง มักจะทำกันอยู่บ่อยๆ และถ้าหากคุณเข้าไปดูตามเว็บไซต์ เครื่องสำอางต่างๆ ก็จะเห็นว่า มาร์ก นั้น มีหลายรูปแบบเหลือเกิน จนบางทีก็แยกไม่ออกว่า แต่ละแบบนั้น เอาไว้ทำอะไร และช่วยดูแลผิวอย่างไรบ้าง ซึ่งในหัวข้อนี้ เราจะมาบอกคุณเอง เพื่อให้สามารถเลือกซื้อได้ อย่างเหมาะสมกับความต้องการดูแลผิวในอนาคต และอย่าลืมเด็ดขาดว่าการ “มาส์คหน้า” ขั้นตอนบำรุงผิวที่ละเลยไม่ได้ของสาวๆ (และหนุ่มๆ)
สลีปปิ้งมาร์ค/ โอเวอร์ไนท์ มาร์ค
เป็นมาร์ค ที่ควรทาปิดท้าย หลังจากทาครีมบำรุงผิวก่อนนอนทุกตัวแล้ว มีความเข้มข้นสูง เหมาะกับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้า แบบเร่งด่วน หรือคืนก่อนออกงานสำคัญ เพราะเพียงแค่ทาแล้วทิ้งไว้แล้วนอน ค่อยตื่นมาล้างออกตอนเช้า ผิวหน้าของคุณ จะได้รับการบำรุง ทำให้อิ่มฟู และดูผิวสุขภาพดี ถึงแม้ว่า คืนนั้น คุณจะนอนดึก เพราะทำงาน หรือปาร์ตี้ ก็ตาม
สั่งซื้อ Neutrogena® HYDRO BOOST™ 3D Sleeping Mask คลิกเลย!
มาร์กชีท
คือ มาร์ก ที่มาในรูปแบบของทิชชู่มาร์ก ที่จะมีเซรั่ม บำรุงผิว ในปริมาณที่มาก และเข้มข้น กว่า ครีมบำรุงผิวทั่วไป มีทั้งแบบที่ต้องล้างออก หลังจากการมาร์ก และแบบที่สามารถทาครีม หรือแต่งหน้าทับได้เลย ข้อดีคือ หากคุณต้องการให้ผิวดูชุ่มชื่นอย่างเร่งด่วนมากๆ ใช้ก่อนแต่งหน้า จะช่วยให้ผิวหน้าดูสุขภาพดีได้ทันดี แต่มีข้อควรระวังก็คือ ห้ามวางมาร์กชีทไว้บนผิวหน้าข้ามคืนเด็ดขาด เพราะตัวทิชชู่ จะดูดความชุ่มชื้นจากผิว ตื่นมาหน้าอาจจะแห้งได้
พีลลิ่งมาร์ก
หากใครที่เป็นสิวเสี้ยน บ่อยๆ คาดว่า น่าจะเคยผ่านการใช้มาร์คประเภทนี้มาบ้าง ตัวมาร์กจะมีความเหนียวข้น เมื่อแห้งแล้วจะเกาะตัวกัน จนสามารถลอกออกจากผิวหน้าได้ เหมาะสำหรับการใช้ลอกสิว หรือเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ที่ไม่สามารถขัดออกไป และที่สำคัญ คือ ช่วยให้รูขุมขนกระชับ แต่ไม่ควรใช้เกิน สัปดาห์ ละ 2 ครั้ง เพราะการลอกผิว เป็นการรบกวนผิวอย่างหนึ่ง อาจจะทำให้ผิวบางได้
มาร์กโคลน
เป็นมาร์กแบบที่ทาทิ้งเอาไว้ เมื่อครบระยะเวลาต้องล้างออก มีส่วนผสมของสารธรรมชาติ ที่ช่วยในการบำรุงผิวที่แตกต่างกัน ข้อดีคือ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการบำรุงผิว และค่อนข้างมีเวลาสำหรับการดูแลผิวหน้า แต่ข้อเสียคือ อาจจะเสียเวลาในการรอให้แห้ง และมักจะเลอะเทอะ หากผสมไม่ดี
การเลือกมาร์กสำหรับบำรุงผิวนั้น สิ่งที่ต้องคำนึง นอกจากความสะดวกสบายในการดูแลผิว ก็คือ ลักษณะผิวของคุณ และปัญหาผิวที่มีอยู่ เพราะมาร์กแต่ละชนิด มักจะเหมาะกับปัญหาผิวที่แตกต่างกัน นอกจากนี้แล้ว เราสามารถใช้มาร์กหลายๆประเภทร่วมกันได้ ในการแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกัน หรือต้องการแก้ปัญหาผิวแบบครบวงจร