“Grammar” ไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษ รวมทริคปูพื้นฐานอย่างครบครัน !

Grammar นั้นสำคัญต่อการสื่อสารภาษาอังกฤษขนาดไหน

การศึกษาไวยกรณ์พื้นฐาน เป็นการปูพื้นฐานทางการศึกษาภาษาอังกฤษที่ดีที่คุณครูและผู้ปกครองควรแนะแนวให้เด็ก ๆ เกิดความเข้าใจอย่างง่าย โดยเฉพาะใบงานภาษาอังกฤษอย่าง Articles Worksheet แล้วมั่นใจได้เลยว่าสื่อการสอนในรูปแบบนี้ จะทำให้เด็ก ๆ สามารถเรียนรู้ในเรื่องของไวยกรณ์พื้นฐานอย่างเรื่อง a , an , และ the ได้อย่างถูกต้อง ซึ่ง Grammar คือ ไวยกรณ์ในภาษาอังกฤษนั้นก็มีหลากหลาย Tense และหลากหลายรูปแบบ การที่ได้ศึกษาไวยกรณ์เบื้องต้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการนำไปต่อยอดในเรื่องของไวยกรณ์ภาษาอังกฤษ

ไวยากรณ์ ภาษาอังกฤษ

เริ่มต้นจาก Grammar หรือ ไวยากรณ์ เบื้องต้น

โดย Grammar เบื้องต้นที่นักเรียนจะได้เจอในช่วงประถมนั้นก็มีอยู่ด้วยกัน หลาย ๆ เรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องก็ล้วนแต่เป็นไวยกรณ์พื้นฐานทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง is , am , are ที่จำเป็นจะต้องใช้ในเกือบทุกประโยคของภาษาอังกฤษ , เรื่อง Can I have something ? ที่เป็นประโยคในการขอร้อง , และอีกเรื่องที่เด็ก ๆ จะต้องได้เจออย่างแน่นอนนั่นก็คือเรื่อง I have ที่เป็นการแสดงความเป็นเจ้าของนั่นเอง รวมถึงยังมีเรื่องสรรพนามในแต่ละบุรุษมาให้นักเรียนได้เรียนรู้เพื่อที่จะสามารถนำไวยกรณ์ภาษาอังกฤษไปใช้ได้อย่างถูกต้องในชีวิตประจำวัน


5 Tense Grammar ที่สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน

Grammar คือ ไวยกรณ์ภาษาอังกฤษที่มีรูปแบบของโครงสร้างในการสร้างประโยคที่ถูกต้องตามแบบฉบับของการใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง ซึ่งเราจะเรียกโครงสร้างประโยคเหล่านั้นว่า “Tense” ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 12 Tense โดยแต่ Tense นั้นก็จะมีความเกี่ยวข้องกับเวลาทั้งสิ้น นั่นก็คือ Past (อดีต) Present (ปัจจุบัน) และ Future (อนาคต) นั่นเอง แต่ในชีวิตประจำวันนั้น เราจำเป็นต้องใช้ทั้ง 12 Tense นี้ จริง ๆ หรือวันนี้เราจึงจะมาแนะนำ 5 Tense ที่สามารถใช้ได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันกันค่ะ

Past Simple Tense

Past Simple Tense คือ การบอกกล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาและจบลงไปแล้ว โดยมีโครงสร้าง : S+V2 (ed/เปลี่ยนรูป) เช่น

  • I ate French Fired last night. ฉันกินเฟรนช์ฟรายเมื่อคืนนี้ (กินไปแล้ว)
  • He ran to School yesterday. เขาวิ่งไปโรงเรียนเมื่อวานนี้ (วิ่งไปแล้ว)
  • She went to Supermarket last Monday. หล่อนไปที่ซุปเปอร์มาร์เกตตอนวันจันทร์ที่แล้ว (ไปมาแล้ว)

Present Simple Tense

Present Simple Tense คือ การบอกกล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันอยู่เป็นประจำ ซึ่งมักจะมีคำบอกความถี่ของการเกิดขึ้น เช่น always , often , sometime , usually , seldom เป็นต้น โดยมีโครงสร้าง : S + V1 (s/es) เช่น

  • I eats French Fired in the night. ฉันกินเฟรนช์ฟรายด์ตอนกลางคืน (คืนนี้ก็ยังคงกินอยู่)
  • He always do homework. (ตอนนี้เขาก็ยังทำการบ้านสม่ำเสมอเช่นเคย) เขาทำการบ้านเสมอ
  • She goes to Supermarket everyday.  หล่อนไปซุปเปอร์มาเกตทุกวัน (วันนี้ก็ไปอีก)

Present Continuous Tense

Present Continuous Tense คือ การบอกกล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ในตอนนี้ ขณะนี้ และเวลานี้ ซึ่งเป็น Tense ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยมีโครงสร้างประโยค : S + V to be (is , am , are) + V1+ing เช่น

  • I’m (am) eating French Fired. ฉันกำลังกินเฟรนช์ฟราย
  • He’s (is) running to school. เขากำลังวิ่งไปโรงเรียน
  • She’s (is) going to Supermarket. หล่อนกำลังไปซุปเปอร์มาร์เกต

Future Simple Tense

Future Simple Tense คือ การบอกกล่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์เอาไว้แล้ว หรืออาจะเป็นการพูดถึงหรือวางแผนบางสิ่งบางอย่างไว้ในอนาคตโดยที่มีการระบุช่วงเวลาเอาไว้แล้ว มักจะมีคำว่าว่า next year , next month , tomorrow ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคำที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาในอนาคตทั้งสิ้น โดยมีโครงสร้าง : S + will/shall + V1 เช่น

  • I will go to China next year. ฉันจะไปประเทศจีนปีหน้า
  • He will watch action movie tomorrow. เขาจะดูหนังแอคชันพรุ่งนี้
  • She will read a book for test next month. เดือนหน้าหล่อนจะอ่านหนังสือเพื่อสอบ

Present Perfect Tense

Present Perfect Tense คือ การบอกกล่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นในอดีตและมีความต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมักจะมีคำว่า until , while , since เป็นต้น โดยมีโครงสร้างประโยค : S + has/have + been + V1 + ing เช่น

  • I have been swimming. ฉันกำลังว่ายน้ำ (ตอนนี้ก็ยังว่ายอยู่ ยังไม่ได้ขึ้นจากน้ำ)
  • He has been playing badminton. เขากำลังเล่นแบดมินตัน (ตอนนี้ก็ยังเล่นอยู่ ยังไม่ได้เลิกเล่น)
  • She has been going to the mall. เขาไปที่ห้างสรรพสินค้า (ตอนนี้ก็ยังอยู่ที่ห้าง ยังไม่กลับมา)

5 Grammar ที่คนส่วนใหญ่มักใช้ผิด

Grammar หรือ ไวยกรณ์ คือ กฎเกณฑ์ของภาษาที่ผู้ศึกษาจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจเพื่อที่จะสามารถนำภาษานั้น ๆ ไปพัฒนาและต่อยอดในการสื่อสารให้ดียิ่งขึ้นได้ แต่คงจะไม่ดีเท่าไหร่หากเรายังจำวิธีสร้างประโยคหรือ Grammar กันแบบผิด ๆ เพราะนั่นอาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ความหมายของการสื่อสารสามารถคลาดเคลื่อนไปได้ ยกตัวอย่างประโยคในภาษาไทย เช่น

A : ฉันหิวน้ำมากเลย เธอมีน้ำไหม

B : มีสิ แม่กำลังทำอยู่

ถ้าคุณเจอบทสนทนาแบบนี้คุณจะไปต่อยังไงคะ เช่นเดียวกันกับภาษาอังกฤษการที่คุณและคู่สนทนานั้นสามารถสื่อสารกันได้แต่ยังคงใช้ Grammar แบบผิด ๆ ก็อาจจะนำไปสู่การที่คุณทั้งคู่จะเกิดความไม่เข้าใจกันได้สูง ซึ่งวันนี้บทความของเราก็ได้นำ Grammar ที่คนส่วนใหญ่มักจะใช้ผิดมาฝากทุก ๆ ท่านกันค่ะ

1. ฉันเคยไปมาแล้ว

ฉันเคยไปที่มาแล้ว” เป็นประโยคยอดฮิตที่ผู้ใช้ภาษอังกฤษส่วนใหญ่มักจะผิดเพราะคุ้นชินกับคำว่า “Never” และ “Ever” ที่แปลว่า ไม่เคยและเคยนั่นเอง ตัวอย่างประโยค เช่น

I ever go to China. ฉันเคยไปประเทศจีนมาแล้ว

ซึ่งถ้าดูจากบริบทของความหมายแล้วมันก็ถูกต้องค่ะ แต่หากจะพูดกันในเรื่องของ Grammar บอกเลยว่าปากกาแดงมาเต็มหน้ากระดาษเลย เพราะการที่คุณจะบอกว่าเคยไปหรือไม่เคยไปที่ไหนมาก่อนนั้นควรใช้

I’ve been to China. ฉันเคยไปประเทศจีนมาแล้ว

แบบนี้จึงจะเรียกว่าใช้ Grammar ได้ถูกต้องและเหมาะสมแถมยังดูโปรไปอีก

2. Want กับ Need

Want กับ Need” นั้นเป็นอีกคำความหมายเหมือนที่มีคนใช้ผิดเยอะมาก ๆ เพราะส่วนใหญ่จะรู้แค่ ถ้าอยากได้อะไรก็แค่พูดว่า “I want” แต่ถ้าตอนนั้นคุณเจ็บปางตายและจะต้องไปหาหมอในตอนนั้นคุณยังจะพูดว่า “I want to go to the doctor” ไหมคะ แน่นอนว่ามันพูดได้ค่ะ แต่ความจริงแล้วมันผิด เพราะ “Want” คือ ความต้องการที่ถูกพูดถึง หรือจะให้เข้าใจมากขึ้นก็คือ แค่อยาก แต่ไม่ได้ต้องการจริง ๆ ถ้าไม่จำเป็น

“Need” คือ ความต้องการ และจำเป็นมาก ๆ ถึงได้ต้องการขนาดนี้ ซึ่งหากจะใช้ประโยคเมื่อครูให้ถูกต้อง ก็ควรจะเป็น

I need to go to the doctor. ฉันต้องการไปหาหมอ

3. Must กับ Have to

Must กับ Have to” อีกหนึ่งคำคู่ความหมายเหมือนที่ใช้ไม่เหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่จะใช้คำว่า “Have to” มากกว่านั่นเอง แต่ความจริงแล้วทั้งสองคำนี้มีวิธรีการใช้งานที่แตกต่างกัน โดยคำว่า

“Have to” แปลว่า ต้อง ซึ่งใช้เพื่อเราได้รับคำสั่งให้สิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือสิ่งนั้นเป็นหน้าที่ที่ต้องกระทำ เช่น

I have to go to school. ฉันต้องไปโรงเรียน

“Must” แปลว่า ต้อง ซึ่งใช้เมื่อต้องการออกคำสั่ง หรือการบอกให้คนใดคนหนึ่งปฏิบัติสั่งนั้น ๆ เช่น

You must keep clean in your room. คุณต้องรักษาความสะอาดในห้องของคุณ 

4. Its กับ It’s

Its กับ It’s” เป็นคำที่ไม่ควรใช้ผิดเลยแต่ก็ยังมีคนใช้ผิดอยู่เรื่อย เพราะนอกจากจะเขียนต่างกันแล้วความหมายก็ยังต่างกันอีกด้วย โดยคำว่า “Its” มีความหมายว่า ของมัน ส่วนคำว่า “It’s” มีความหมายว่า มันคือ ซึ่งการที่คนส่วนใหญ่ใช้คำนี้ผิดนั่นก็เป็นเพราะสัญลักษณ์ “’” ตัวนี้นี่แหละค่ะ ตัวอย่างประโยคที่ใช้ผิดเช่น Its my dog. แล้วสรุปสุนัขตัวนี้เป็นของใคร ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนให้เป็นประโยคที่ถูกต้องนั่นก็คือ

It’s my dog. สุนัขของฉัน

5. Can กับ Could

Can กับ Could” ทั้งสองคำนี้ล้วนมีความหมายว่า “สามารถ” แต่ทำไมถึงยังมีคนใช้ผิด นั่นก็เป็นเพราะว่าทั้งสองคำนี้นั้นถึงจะมีความหมายเหมือนกันก็จริง แต่หากดูตามหลัก Grammar แล้ว ก็ไม่ควรให้แบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะคำว่า “Can” จะใช้กับสิ่งที่เราทำได้ หรือสิ่งที่คนทั่วไปก็ทำได้ แต่คำว่า “Could” จะใช้บอกเล่าเกี่ยวกับความสามารถตั้งแต่อดีตที่เราเคยทำมานั่นเอง เช่น

I could Speak English when I was five. ฉันพูดภาษาอังกฤษได้ตอนอายุ 5 ขวบ

ศึกษาไวยกรณ์น่ารู้ Articles Worksheet

แน่นอนหากผู้ปกครองและพ่อแม่ท่านใดปลูกฝังให้บุตรหลานของท่านเกิดความสนใจในภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็ก อาจเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเป็นผู้ที่มีความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ดีได้ในอนาคต ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่น่าสนับสนุน เพราะภาษาอังกฤษถือเป็นการลงทุนที่จะไม่ขาดทุน สามารถประกอบอาชีพได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ล่าม , นักแปล , หรือแม้กระทั่งการทำงานในบริษัทต่าง ๆ ผู้ที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีจะมีโอกาสในความก้าวหน้าของงานมากกว่าผู้อื่น

 

ใบงาน Article Worksheet เหมาะสำหรับเด็ก ๆ และนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในช่วงชั้นประถมศึกษาไปจนถึงมัธยมศึกษา เพราะมีเนื้อหาที่สามารถนำมาต่อยอดจากการศึกษาเรื่อง Grammar เบื้องต้นในช่วงประถมไปจนถึงมัธยมได้ ซึ่งใบงานภาษาอังกฤษนี้จะทำให้นักเรียนมีความรู้และความเข้าใจในเรื่อง a , an , และ the ได้มากขึ้น ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรประมาท ดังนั้นหากอยากให้เด็ก ๆ มีความรู้ในเรื่องไวยกรณ์ Articles Worksheet ก็เป็นตัวเลือกดี ๆ ที่เหมาะแก่การศึกษาไวยกรณ์อย่างมาก

เพราะการเรียนรู้ Grammar คือการให้เกียรติที่ไม่ควรวางเฉย

หลาย ๆ ท่านคงจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘ไม่ต้องสนใจเรื่องไวยกรณ์มาก ฝรั่งเขาเข้าใจ’ แต่การพูดแบบนี้นั้นเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในการเรียนภาษาอังกฤษที่ผิด เพราะการศึกษาไวยกรณ์ให้ถูกต้องนั้นก็ถือเป็นมารยาทและการให้เกียรติในภาษาของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษที่มีไวยกรณ์อยู่หลาย Tense แถมยังต้องใช้เวลาในการศึกษาที่นานพอสมควรจึงจะเข้าใจ การมีใบงานภาษาอังกฤษ Articles Worksheet จึงเป็นการเปิดประตูด่านแรกที่จะทำให้เด็ก ๆ ได้เข้าใจเกี่ยวกับไวยกรณ์ที่ควรรู้

หากเด็ก ๆ และนักเรียนของท่านสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับไวยกรณ์พื้นฐานในเรื่องของ a , an , และ the ได้แล้ว การที่พวกเขาจะไปศึกษาในเรื่องกลุ่มคำหรือวลีอื่น ๆ รวมถึง Tense ต่าง ๆ ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมา ซึ่งก็มีการวิจัยมาแล้วว่าหากผู้ปกครองและพ่อแม่ท่านใดส่งเสริมให้เด็ก ๆ ทำในสิ่ง ๆ นั้นตั้งแต่เด็ก ๆ เมื่อเขาเริ่มเติบโตขึ้นเขาก็จะสามารถทำสิ่งนั้นได้อย่างดีขึ้นเป็นลำดับขึ้นไป ซึ่งหากจะลองพิจรณาเกี่ยวกับเรื่องนี้ดู ก็เห็นว่าจะเป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ อย่างเช่น คลิปเด็กพูดได้ 5 ภาษามาให้เราได้เห็นทางสื่อออนไลน์นั่นเอง