วิตามินบี2 หรือ ไรโบฟลาวิน (Riboflavin) เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ถูกดูดซึมได้ง่าย ปริมาณที่ถูกขับออกมาจะขึ้นอยู่กับความต้องการของร่างกายเป็นหลัก ร่างกายจึงไม่เก็บสะสมไว้ เราจึงควรได้รับอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจากอาหารหรืออาหารเสริม
วิตามินบี2 มีอีกชื่อว่า วิตามินจี (Vitamin G) มีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม (มก.หรือ mg.) วิตามินชนิดนี้จะถูกแสงสว่างทำลายได้โดยง่าย แต่ไม่ถูกทำลายด้วยความร้อนเหมือน วิตามินบี3 โดยวิตามินที่พบว่าชาวอเมริกันขาดมากที่สุดคือ ไรโบฟลาวิน หรือวิตามินบี2
แหล่งที่พบวิตามินบี2 ได้ในธรรมชาติ ได้แก่ ไข่ นม ถั่ว โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว ปลา ตับ และไต เป็นต้น
โรคจากการขาดวิตามินบี2 ได้แก่ โรคปากนกกระจอกหรือโรคขาดวิตามินบี1 และวิตามินบี 2 พบที่บริเวณริมฝีปาก มุมปาก ผิวหนัง อวัยวะสืบพันธุ์
ผลเสียของการรับประทานเกินขนาด ปัจจุบันยังไม่พบอาการที่บ่งชี้ว่าเป็นพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินชนิดนี้ แต่ที่มีความไปได้ว่า หากในร่างกายมีวิตามินตัวนี้สูงเกินไปก็คือ คัน รู้สึกชา อาการแสบยิบๆ โดยศัตรูของวิตามินบี2 ได้แก่ แสงแดดหรือแสงยูวี ความเป็นด่าง ยากลุ่มซัลฟา ฮอร์โมนเอสโตรเจน แอลกอฮอล์ และน้ำ เพราะวิตามินบี2 จะถูกเจือจางในน้ำที่ประกอบอาหาร
คำแนะนำในการรับประทานวิตามินบี2
A Vitamin B2 ในรูปแบบอาหารเสริม ขนาดที่ใช้โดยทั่วไปคือ 100 มิลลิกรัม จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่ออยู่ในรูปแบบของวิตามินบีรวม โดยขนาดที่ใช้รับประทานโดยทั่วไปคือ 100-300 มิลลิกรัม ต่อวัน
B ปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ 1.2-1.7 มิลลิกรัม สำหรับผู้ใหญ่ , 1.6 มิลลิกรัม สำหรับหญิงตั้งครรภ์ , 1.8 มิลลิกรัม สำหรับหญิงให้นมบุตรในหกเดือนแรก และ 1.7 มิลลิกรัม สำหรับหกเดือนหลัง
C ร่างกายจะต้องการวิตามินชนิดนี้เพิ่มมากขึ้น หากอยู่ในสภาวะเครียด
D สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือรับประทานยาคุมกำเนิด ร่างกายคุณจะต้องการวิตามินบี2 เพิ่มขึ้น
E สำหรับผู้ที่รับประทานเนื้อแดงหรือนมวัวเพียงเล็กน้อย คุณควรหาวิตามินบี2 มารับประทานเพิ่ม
F เมื่ออยู่ในสภาวะเครียดทุกรูปแบบ วิตามินบีรวมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคุณ
G วิตามินบี12 จะทำงานร่วมกับ วิตามินซี วิตามินบี3 และ วิตามินบี6 ได้ดีที่สุด
H สำหรับผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ร่างกายจะต้องการวิตามินบี2 เพิ่มมากขึ้น เพราะแอลกอฮอล์ขัดขวางการดูดซึมของวิตามินบี2
I วิตามินชนิดนี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังรับประทานยาต้านมะเร็ง เช่น เมโทเทร็กเซต เพราะอาจไปลดประสิทธิภาพของยาต้านมะเร็ง
J สำหรับผู้ที่รับประทานยาปฏิชีวนะ ร่างกายคุณอาจจะไม่ได้รับวิตามินบี2
K มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่คนขาดวิตามินบี2 อาจเป็นเพราะกำลังรักษาแผลหรือโรคเบาหวาน
L ผู้ป่วยที่รับประทานวิตามินบี2 วันละ 400 มิลลิกรัม ติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 3-4 เดือน จะมีความถี่ ระยะเวลา และความรุนแรงของโรค ไมเกรน ลดลงถึงร้อยละ 50
ประโยชน์ของวิตามินบี2
01 ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์
02 บำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม
03 เพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตา
04 ช่วยลดความเจ็บปวดจากไมเกรน
05 กำจัดอาการเจ็บแสบในปาก ริมฝีปาก และลิ้น
06 ทำงานร่วมกับสารอื่นๆ ในการเผาผลาญอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และโปรตีน
แหล่งอ้างอิง : หนังสือวิตามินไบเบิล (ดร.เอิร์ล มินเดลล์)