มารู้จักกันโรคไมเกรน
บทความโดย : หมอแดง ดิอโรคยา
ปัจจุบันพบว่ามีผู้ที่ป่วยด้วยโรคไมเกรนเข้ามาบำบัดรักษาหลายราย จากการได้พูดคุย สอบถามอาการ และพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต นวดกดจุดตรวจรักษาคนไข้แล้ว ล้วนแล้วแต่มีปัญหากับระบบย่อยอาหาร และพฤติกรรมการรับประทานทั้งสิ้น
ขอยกตัวอย่างคนป่วย คุณอัญชลี หญิงสาววัย 39 ปี มีอาการปวดไมเกรนมานานหลายปี ส่วนใหญ่จะปวดช่วงก่อน และหลังมีประจำเดือน มีอาการอื่นร่วมด้วยคือ ปวดบ่าทั้งสองข้าง ปวดเบ้าตาซ้าย ขวา สลับกัน อาการปวดหนักขึ้นๆ เรื่อยๆ ต้องกินยาจำนวนเพิ่มขึ้น เธอบอกว่าต้องนวดเป็นประจำ เพราะมันปวดเมื่อยเนื้อตัวมาก นวดแล้วก็ดีขึ้น แต่วันสองวันก็ปวดเมื่อยอีกแล้ว
พฤติกรรมของเธอคือ ดื่มน้ำเย็นตลอด เช้าขึ้นมาก็ชงโปรตีนจากถั่วเหลืองกินหนึ่งแก้ว(นมถั่วเหลืองมีฤทธิ์เย็น) ตามด้วยน้ำเย็นอีก 1-2 แก้ว แช่เย็นกระเพาะอาหารและลำไส้ มื้อกลางวันกินอาหารก็ดื่มน้ำเย็นรวมๆกัน 4-5 แก้ว เข้าไปดับไฟย่อยอาหารอีก มื้อเย็นก็ชงโปรตีนถั่วเหลือง ตามด้วยน้ำเย็น กระเพาะอาหารเจอแต่ของเย็นตลอด ทำให้ระบบการย่อยอ่อนแอ กินอะไรเข้าไปก็ไม่ค่อยจะย่อย พากันเน่าเสียกลายเป็นแก๊สเสียส่วนใหญ่ แถมการถ่ายก็ไม่ดี ถ้าไม่กินยาก็ไม่ถ่าย ของเสียก็เลยสะสมกันเต็มที่ กดนวดตามจุดและเส้นตรงไหนเจ็บไปหมดทั้งตัว
อีกท่านเป็นสุภาพบุรุษ อายุ 39 ปี เท่ากันกับรายแรก เป็นวัยที่แข็งแรง สู้งาน แต่เมื่อมีอาการปวดศีรษะไมเกรนกำเริบ ก็หมดอารมณ์ในการทำงาน กินยานอน รอให้อาการสงบค่อยลุกขึ้นมาต่อสู้ใหม่ รายนี้เป็นหนักกว่า ไม่ได้มีรอบเดือนกับเขาจึงไม่ได้ปวดช่วงนั้นของเดือนดังเช่น รายแรก แต่อาทิตย์หนึ่งจะปวด 2-3 ครั้ง ต้องกินยาแก้ปวดวันละ 3 เวลาเมื่อมีอาการปวด กินมา 5 ปีแล้ว รักษาไม่หายสักที มีแต่จะเป็นหนักขึ้น กินยาแรงขึ้น และยังมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่น ปวดเข่า ปวดข้อเท้าเส้นเอ็นอักเสบ บ่า คอ ไหล่ หลัง ตึงแข็งตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำงานหนักอะไร
ก็อีกนั่นแหละ “การย่อยอาหารที่ไม่ดี” สาเหตุเกิดจากการดื่มน้ำเย็นช่วงทานอาหารรวมแล้ว 3 แก้ว อาหารก็เลยไม่ย่อย 2 – 3 วันถ่ายครั้งหนึ่งแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดโรคมากมายตามที่คนไข้เป็น อยู่ กดนวดตรงไหนก็เจ็บ เส้นเอ็นแข็งทั้งตัวตามที่ว่า เหมือนลูกโป่งที่ถูกอัดลมเข้าไปจนแข็ง
คุณอารี อายุ 27 ปี ปวดศีรษะไมเกรนขั้นรุนแรง, ปวดท้องประจำเดือน, มีเสียงดังตามข้อเข่า, หน้าตาไม่สดชื่น, มีน้ำมูกใสๆไหล ที่ผ่านมารักษาโดยการกินยาแก้ปวด, ยาแก้แพ้อากาศ ต้องนอนพักหลายชั่วโมงเวลามีอาการไมเกรน มีพฤติกรรมการกินอยู่เหมือนหนุ่มสาวปัจจุบัน เธอทำงานเป็นมัคคุเทศก์ กินอาหารแบบต่อต้านสุขภาพดี เช่น ตอนเช้าไม่ทานอะไรเลย ได้แต่ทานน้ำเย็น 2-3 แก้ว หลังอาหารมื้อกลางวันและมื้อเย็นทานน้ำเย็น 1 ขวด 500 ซีซี ระหว่างมื้อถ้าหิวก็ทานพิซซ่า ชามะนาววันละ 2-4 กระป๋อง และน้ำเย็นตลอดเวลา นอนตื่นสายบ้างบางวัน ส่วนมากจะนอนดึก ประมาณเที่ยงคืน
ระหว่างวันบางวันต้องหลับเป็นช่วงๆ เพราะสมองหลับไปแล้ว เช่น เดินในห้างสรรพสินค้า!! นั่งคุยกับเพื่อน ต้องนั่งหลับประมาณ 1 ชม. จึงจะตื่นขึ้นมาทำงานต่อได้ ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเป็นโรคขาดสารอาหาร เลือดไม่มีคุณภาพที่จะเลี้ยงสมองได้
คุณวรานันท์ อายุ 32 ปี ปวดศีรษะไมเกรนหลายปี ท้องผูก หลายวันถึงจะถ่ายสักครั้ง นอนไม่ค่อยหลับ มีน้ำมูกไหลทั้งวัน พฤติกรรมชอบทานกาแฟเย็น, กาแฟปั่น, น้ำอัดลม, นมแช่เย็น ทานน้ำน้อย 2-3 แก้วต่อวัน ชอบทานของหวาน, ของทอด, ของมัน เวลาปวดศีรษะก็ทานยาแก้ปวดศีรษะไมเกรน
ผมขอนำเอาหลักการแพทย์แผนจีนเข้ามาอธิบายคร่าวๆว่าไมเกรนหรืออาการปวดหัว ข้างเดียว บางคนก็เป็นทั้งสองข้างนั้นเป็นสัญญาณเตือนของ 2 เส้นลมปราณหลักๆคือ เส้นลมปราณซานเจียว และเส้นลมปราณถุงน้ำดี
1. อาการปวดตึง เจ็บ ตามแนวเส้นลมปราณซานเจียว เป็นสัญญาณเตือนของช่องว่างในช่องท้อง เมื่อไหร่ที่ช่องว่างในช่องท้องมีน้อยลงทุกที เพราะมีแก๊สมีลมมากในลำไส้ จนทำให้ลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กโป่งพองเบียดกระเพาะอาหาร กระบังลม ปอดและหัวใจ เราจะมีอาการปวดตามแนวเส้นนี้ เช่น ปวดแขนไปจนถึงเส้นระหว่างนิ้วนางและนิ้วก้อย ปวดต้นคอด้านข้าง มีเสียงในหู และ ปวดบริเวณขมับและเบ้าตา(ไมเกรน) นอกจากนี้จะมีอาการของ จุกแน่นหน้าอก, การหายใจไม่สะดวก(หายใจเข้าลำบาก), นอนกรน, ตื่นนอนไม่สดชื่น, มีความเครียดบ่อย และบางครั้งมีอาการแน่นที่หัวใจคล้ายคนเป็นโรคหัวใจด้วย สาเหตุคือ
มีลมในลำไส้เล็กและใหญ่มาก จนทำให้ลำไส้บวมเบียดดันอวัยวะอื่นๆ
ลมที่เกิดขึ้นในลำไส้ออกไปตามกล้ามเนื้อ เมื่อใดที่อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นลมจะวิ่งขึ้นบ่าและศีรษะทำให้ปวดมึนศีรษะ
ชอบทานอาหารมื้อดึก
ทานยาแก้อักเสบ, ยาปฏิชีวนะบ่อยเกินไป
ทานยาลดกรดบ่อยๆจนทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารน้อยลง
ทานอาหารไม่ตรงเวลา
ชอบทานน้ำเย็นในมื้ออาหาร
2. อาการปวดตึง เจ็บ ตามแนวเส้นลมปราณถุงน้ำดี เป็นสัญญาณเตือนของถุงน้ำดีว่าร้อน น้ำดีน้อยเกินไป และทำงานหนักลักษณะอาการคือ ปวดตึงเส้นข้างขา, ปวดบริเวณจุดสลักเพชร(บริเวณก้น), เจ็บเสียดชายโครงด้านข้าง, ปวดตึงบ่า, ปวดหัวด้านข้างทั่วศีรษะรวมถึงหน้าผากด้านข้างด้วย(ไมเกรน) สาเหตุคือ
– นอนดึกเกิน 5 ทุ่ม เวลา 5 ทุ่ม-ตีหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาการทำงานของลมปราณถุงน้ำดี
– ทานน้ำเย็น เพราะน้ำเย็นจะทำให้เลือดข้นหนืด ร่างกายไม่สามารถสร้างน้ำดีจากเลือดที่ข้นหนืดและเต็มไปด้วยของเสียนี้ได้
– ทานกาแฟเป็นประจำ คาเฟอีนเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเป็นสารแปลกปลอมจนทำให้ร่างกายต้องขับคาเฟอี นมาพร้อมกับน้ำเมื่อทานมากๆเลือดจะมีน้ำน้อยลงและข้นหนืด อีกทั้งคาเฟอีนยังมีฤทธิ์กระตุ้นให้ตับและถุงน้ำดีทำงานมากขึ้นถึง 3-5 เท่า ,คาเฟอีน จะกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก ดังนั้นหลายท่านที่ชอบทานกาแฟตอนท้องว่าง หรือทานแทนมื้ออาหารในตอนเช้าจึงทำให้เกิดโรคกระเพาะได้ง่าย เมื่อกระเพาะอักเสบ เวลาที่ควรจะย่อยอาหารกลับไม่เหลือน้ำย่อยเสียแล้ว อาหารก็เน่าเสียในระบบทางเดินอาหาร เกิดลมเกิดแก๊สมากมายซึ่ง ลม ก็คือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไมเกรนนั่นเอง
ยังมีความเข้าใจผิดๆกับเรื่องไมเกรนอีก อย่างเช่นเป็นไมเกรนกันทั้งบ้าน แล้วเหมาเอาว่าเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ จริงๆเกิดจากพฤติกรรมคล้ายกันจนทำให้ ย่อยไม่ได้ ถ่ายไม่ดีทั้งนั้น พฤติกรรมการกินดื่มที่คล้ายๆกันจึงป่วยเป็นโรคเดียวกัน ทุกคนก็เลยสบายใจไม่ต้องโทษตัวเองแต่โยนความผิดไปให้กรรมพันธุ์ จริงๆคือ “โรคกรรม” ที่แปลว่าผลของการกระทำเสียมากกว่า
*ดังนั้นเมื่อเราเป็นอะไร ก็ขอให้อย่ามัวแต่ไปโทษเวรโทษกรรม โทษกรรมพันธุ์อยู่เลย และอย่าเอาแต่กินยา ฉีดยาบรรเทาอาการปวดแค่ชั่วครั้งชั่วคราว มันจะยิ่งลุกลามกันไปใหญ่โตจนแก้กันไม่ไหว อย่าปล่อยให้”สายเกินแก้” หันมามองตัวเองดูบ้าง ว่าท่านได้ทำอะไรผิดกับร่างกายไว้บ้าง แล้วปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุย่อมดีกว่าแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแน่นอนครับ…
…………………………
วิธีการในการรักษาไมเกรน
สาเหตุ เกิดจากลมตะกัง หรือ ลมปะกัง การย่อยอาหารและการขับถ่ายไม่ดี ทำให้เกิดแก๊ส และลมในร่างกายมาก ดังนั้นจึงต้องแก้ที่ต้นเหตุนั่นก็คือ “ย่อยให้ได้ ขับถ่ายให้ดี” นั่นเอง
– หลีกเลี่ยง กาแฟตอนเช้า ก่อนอาหาร เพราะจะทำให้กระเพาะอาหารระคายเคือง และขาดน้ำย่อยเมื่อถึงเวลาอาหาร (ถ้าจะดื่ม แนะนำให้ดื่มหลังอาหาร)
– ก่อน และหลังอาหาร 20 นาที ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้ว เพื่อรักษาความเข้มข้นของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารให้ทำงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
– หลีกเลี่ยงน้ำเย็น เพราะจะทำให้กระเพาะช๊อค ผลิตน้ำย่อยไม่ได้ ถ้าจำเป็นต้องดื่ม ให้ดื่มทีละน้อย
– นวดตัว และ ฝ่าเท้า สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อกระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนปลุกให้อวัยวะภายในต่างๆกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
– ก่อนนอน 2-3 ชั่วโมง ไม่ทานอาหารมื้อหนัก เพราะเวลานอน กระเพาะอาหาร ก็จะลดการผลิตน้ำย่อยลง ทำให้อาหารไม่ย่อย เน่าเสียเกิดลม แก๊ส สารพิษต่างๆ
……………………
สมุนไพร
– ก่อนอาหาร ทานยาโรคกระเพาะ ( ขมิ้นชันแคปซูล ) หรือ น้ำขิง เพื่อปรับสมดุลให้กระเพาะอาหาร เพื่อให้พร้อมที่จะย่อย
– หลังอาหาร ใช้ตัวช่วยในการย่อยอาหารเช่น น้ำเอนไซม์ , ผลิตภัณฑ์ Probiotic หรือ สมุนไพรเบญจพันธุ์ ช่วยย่อยอาหารที่ตกค้าง และขับลม เพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้
– ก่อนนอน ทานธรณีสันฑะฆาต หรือยาคลายเส้น เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย
…………………..
สมุนไพร อาหารที่ใช้ในบทความ
– ยาโรคกระเพาะอาหาร(หรือ ขมิ้นชันดิอโรคยา) ราคา 120 บ.
– ธรณีสันฑะฆาต ราคา 200 บ.
– น้ำเอนไซม์ 150 บ. / Lactomin Plus 580 บ. / เบญจพันธุ์ 170 บ. (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งนะครับ)
ดิอโรคยา การแพทย์แผนไทย : 085-108-5885 ,085-108-4664 ,02-682-1215