ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เศรษฐีผู้มั่งคั่งแห่งกรุงโรมต้องการให้นักแสดงตลกมาแสดงในงานเฉลิมฉลองที่ตนจัดขึ้น เพื่อให้ชาวเมืองได้
พักผ่อนหย่อนใจ โดยประกาศว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่ผู้ที่แสดงตลกมุขใหม่ๆ ไม่ซ้ำกับคนอื่น นักแสดงตลกจากทั่วทุกสารทิศ
เมื่อทราบข่าวจึงเดินทางมาเปิดการแสดงที่กรุงโรมเป็นอันมาก มีนักแสดงตลกผู้หนึ่งอวดอ้างตัวว่าสามารถแสดงมุขตลกได้ไม่
เหมือนใคร ดังนั้นเมื่อถึงคิวที่เขาทำการแสดงจึงมีประชาชนเข้ามารอชมกันอย่างเนืองแน่ ครั้นถึงเวลาแสดง นักแสดงตลกผู้อวด
อ้างตัวได้ออกมาหน้าเวทีตามลำพังโดยไม่มีผู้ช่วยหรือลูกทีมเหมือนคนอื่นๆ เขาทำทีเป็นซ่อนลูกหมูไว้ในอกเสื้อ แล้วก้มหน้าทำ
เสียงร้องเลียนเสียงของลูกหมูได้เหมือนจริงมากทำให้คนดูรู้สึกสนุกสนาน แต่มีหลายคนสงสัยว่านักแสดงตลกคงจะซ่อนลูกหมูไว้
ในอกเสื้อจึงขอให้ถอดออกพิสูจน์ เมื่อเห็นว่านักแสดงตลกไม่ได้ซุกซ่อนลูกหมูไว้อย่างที่ทุกคนเข้าใจ คนดูจึงปรบมือให้ในความ
แก่กล้าสามารถของเขาขณะที่เศรษฐี ผู้มั่งคั่งแห่งกรุงโรมจะมอบรางวัลพิเศษแก่นักแสดงตลก ชาวเมืองผู้หนึ่งซึ่งนั่งดูอยู่ด้วยได้
ผุดลุกขึ้นประกาศว่า “รางวัลพิเศษควรจะเป็นของข้า เพราะข้าสามารถทำเสียงลูกหมูได้เหมือนและแนบเนียนกว่านักแสดงตลกผู้นี้
ถ้าไม่เชื่อขอเชิญทุกคนมาพิสูจน์ในวันรุ่งขึ้น” เมื่อถึงเวลาทำการแสดง นักแสดงตลกกับชาวผู้ท้าทายต่างขึ้นเวทีพร้อมกัน ชาว
เมืองต่างตบมือเสียงดังสนั่นเพระมีผู้ชมมากกว่าวันก่อน นักแสดงตลกคนเดิมทำเสียงเลียงเสียงลูกหมูเหมือนครั้งแรก ครั้งถึงคิว
ของนักแสดงตลกคนใหม่ เขาทำทีเหมือนซ่อนลูกหมูเอาไว้ในอกเสื้อและแสดงการบิดหูลูกหมูเต็มแรง ได้ยินเสียงลูกหมูร้องสั่นเวที
แต่คนดูต่างส่งเสียงโห่หาว่าเขาแสดงได้ไม่เท่านักแสดงตลอกคนแรกพร้อมส่งเสียงขับไล่เขาลงจากเวที“พวกท่านเป็นผู้ชม
ประเภทไหนกัน จึงแยกไม่ออกระหว่างของจริงกับของปลอม” นักแสดงตลกคนใหม่แกะกระดุมเสื้อของเขาออก ปรากฏว่าเขาซ่อน
ลูกหมูจริงๆเอาไว้
คติสอนใจจากนิทานอีสปเรื่องนี้:
“เรามักหลงเชื่อในสิ่งที่หลอกลวงยิ่งกว่าสิ่งที่เป็นจริง”