สุขภาพดีด้วยการบริจาคโลหิต
โลหิต ประกอบด้วยพลาสมา (น้ำเหลือง) และเม็ดโลหิต คิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักตัว คือ 5-6 ลิตร (สำหรับผู้ชาย) และ 4-5 ลิตร (สำหรับผู้หญิง) หรือประมาณ 17-18 แก้วน้ำ ไขกระดูกเป็นอวัยวะตั้งต้นที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดโลหิต 3 ชนิด ได้แก่ เม็ดโลหิตแดง เม็ดโลหิตขาว และเกล็ดโลหิต เพื่อทำหน้าที่แตกต่างกันไปในร่างกาย
เม็ดโลหิตแดงแต่ละชนิดมีอายุการทำงาน คือ เม็ดโลหิตแดง มีอายุ 120 วัน เม็ดโลหิตขาว และเกล็ดโลหิต มีอายุ 5-10 วัน เมื่อถึงเวลาที่กำหนดเม็ดโลหิตจะถูกทำลาย และขับออกมาในรูปของเหงื่อ ปัสสาวะ และอุจจาระ หลังจากนั้นไขกระดูก จึงสร้างเชลล์เม็ดโลหิตชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนได้โดยไม่มีวันหมด ปริมาณโลหิตที่มีในร่างกาย ถูกสร้างขึ้นมาให้เกินกว่าความต้องการใช้ที่แท้จริง เพราะร่างกายคนเรามีโลหิตปริมาณ 17-18 แก้วน้ำ ร่างกายต้องการใช้เพียง 15-16 แก้วน้ำเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 2-3 แก้วน้ำ สามารถบริจาคให้กับผู้อื่นได้ทุก 3 เดือน
ดังนั้นการบริจาคโลหิต ซึ่งนำโลหิตออกจากร่างกายประมาณ 350-450 มิลลิลิตร จึงเป็นการนำโลหิตสำรองออกมาโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ แก่ร่างกาย เพราะไขกระดูกจะสร้างโลหิตขึ้นมาทดแทนปริมาณที่ถูกถ่ายเทออกไป และที่สำคัญยังทำให้เกิดประโยชน์กับผู้บริจารโลหิตหลายๆ อย่างด้วยกัน อาทิ
ร่างกายได้สร้างเม็ดโลหิตใหม่ๆ ซึ่งแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า ทำให้เม็ดโลหิตแดงลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ เม็ดโลหิตขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดโลหิตซ่อมแซมรอยฉีกขาดในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก เปรียบเสมือนการออกกำลังกาย ให้กับไขกระดูกได้ทำงานได้ดีขึ้น
 ลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจดายเฉียบพลัน การวิจัยในประเทศฟินแลนด์ พบว่า การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในเพศชายได้ ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ การสูญเสียโลหิตอย่างสม่ำเสมอจากการบริจาคโลหิตช่วยให้การสะสมธาตุเหล็กใน ร่างกายลดลง เพราะเจ้าตัวธาตุเหล็กนี้ไม่ทำให้ไขมันทำปฎิกิริยากับออกซิเจน ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและอุดตันได้ การบริจาคโลหิตช่วยให้ร่างกายลดภาวการณ์สะสมธาตุเหล็ก ซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงด้วยนั่นเอง การบริจาคโลหิตทุก 3 เดือน จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะช่วยให้ผู้บริจาคโลหิตมีสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยตนเอง
 ได้ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 3 เดือน
 ทำให้ทราบหมู่โลหิต ทั้งระบบ A B O และระบบ Rh
 โลหิตทุกยูนิตที่ได้รับบริจาค ต้องผ่านกระบวนการคัดกรองเชื้อต่างๆ ในห้องปฏิบัติการเหมือนกับการที่ผู้บริจาคโลหิตได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัส ตับอักเสบ บี, ไวรัสตับอักเสบ ซี, ซิฟิลิส และเอดส์
 ได้รับการตรวจสารเคมีในโลหิต (บริการตรวจให้ปีละ 1 ครั้ง) แจ้งความจำนงที่แพทย์ผู้ตรวจวัดความดันโลหิต ในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00-10.00 น. โดยต้องงดอาหารและน้ำหลังเที่ยงคืนมาก่อน
เมนูอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก เหมาะสำหรับผู้บริจาคโลหิต
แกงจืดเลือดหมู
 ผัดถั่วงอกกับเลือดหมู และตับหมู
 ตับผัดขิง
 แกงไก่กับมันเทศ
 แกงคั่วสับปะรดกับหอยแมลงภู่แห้ง
 แกงเผ็ดฟักทองกับเลือดหมู
 แกงคั่วยอดมะพร้าวกับเลือดหมู
 แกงเผ็ดฟักกับเลือดหมู
 ผัดเผ็ดถั่วฝักยาวใส่ตับ
อาหารจานเดียว
ก๋วยจั๊บ
 ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหมูและตับ
 ก๋วยเตี๋ยวเครื่องในวัว
 ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ้วตับ
 ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย
 ข้าวผัดเบญจรงค์
ที่มา : แผ่นพับ ศูนย์บริจาคโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
 
 




